วันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ไหว้พระตามรอยพระบาทที่เขาคิชฌกูฏ


ผมเคยเกริ่นไว้ว่าจะเล่าเรื่องที่ผมได้ขึ้นไปสักการะรอยพระพุทธบาทบนเขาคิชฌกูฏ ใครจะนึกว่าคนที่เดินไม่ค่อยแข็ง แรงก็น้อย แถมถือไม้เท้า อย่างผมจะขึ้นไปถึงยอดเขาได้ แต่ผมก็ขึ้นไปได้ อยากรู้ต้องตามอ่าน วันนั้นเวลา ๙.๐๐ น.ของวันที่ ๒๒ เดือนมีนาคม ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ผมได้นั่งรถตู้กับกลุ่มเพื่อนบ้านและพี่สะใภ้ โดยมีจุดมุ่งหมายคือ เขาคิชฌกูฏ จันทบุรี เรานำดอกดาวเรืองไปหลายถุงเลย ก็ไม่รู้หรอกว่าทางขึ้นเป็นอย่างไร ทำไมต้องใช้ดอกดาวเรืองเยอะขนาดนั้น แต่ก็อยากไปกับเขา ตอนแรกนึกในใจว่าคงรออยู่ที่ทางขึ้น แต่พอรถตู้ขับไปถึงที่ตีนเขา เวลา ๑๓.๐๐ น. คนที่ไปด้วยก็บอกไหนๆมาแล้วก็ขึ้นไปให้ถึงเลยดีกว่า เขาก็ซื้อตั๋วโดยสารรถให้ (ที่นั่นไม่ให้ขับไปเองเพราะทางชันและโด้งเยอะมาก) ก็ตามเขาขึ้นไป โหทางชันจริงๆโค้งเยอะมากคนขับต้องชำนาญจริงๆเลย พอรถจอดผมก็มองไปรอบๆ เอ๊ะ ทำไมไม่เหมือนในรูป มารู้ว่าต้องต่อรถอีกคัน เอาวะ ถึงไหนถึงกัน ต่อก็ต่อ รถก็เหมือนคันเดิมทำไมไม่ขับรวดเดียวให้ถึงเลย เก็บความสงสัยไว้ แล้วต่อรถอีกคัน คราวนี้รู้เลยทางชัน รดเลี้ยวมากแคบด้วยมีรถลงจากเขาและขึ้นเขาด้วยเกือบครึ่งชั่วโมงจึงขึ้นมาบนเขา ผมนึกว่าถึงยอดเขาแล้ว ที่ไหนได้ มีทางเดินขึ้นไปอีกเป็นบันไดบ้าง เป็นทางชันๆ ทั้งสองอย่าง ผมดูแล้วหมดสิทธิ์ขึ้นแน่ รอตรงนี้แหละวะ พี่สะใภ้ก็บอก รอตรงนี้ละกัน เพราะมีพระให้ไหว้เหมือนกัน ทางก็เรียบกว่าด้วย แต่คนแถวบ้านบอกมาแล้วก็ต้องขึ้นให้ถึง คะยั้นคะยออยู่พักนึง ผมก็ฮึด เอาวะ พี่สะใภ้มองเห็นคนรับจ้างแบกเสลียง เค้าก็ไปถามราคาเท่าไหร่ คนห่ามก็ตอบกลับมาว่า ๑,๐๐๐ บาท แล้วก็เดินมาบอกผม (โหย แพงวะ ผมนึกในใจ) ผมบอกกับคนแถวบ้านคงไปไม่ได้เพราะผมพกเงินมาไม่ถึง กลายเป็นเขาบอกจะออกให้ก่อน กลับบ้านแล้วค่อยเอามาคืน ผมก็ ตกลง ผมคิดในแง่บวก ยังไงก็ได้ขึ้นไปละวะ คิดต่ออีกว่า เรานั่งเสลียงขึ้นไปแบบเจ้าคนนายคนคิดแล้วสบายใจ พอขึ้นไปนั่งโคตรเสียวเลย เอียง ๔๕ % จนผมนั่งตัวเกร็งเอนตัวไปข้างหน้า มือก็ถือถุงดอกดาวเรืองที่แกะเป็นกลีบ ใช้อีกมือคอยโปรยตามข้างทาง มือที่ถือถุงก็เกาะขื่อไม้แน่นเลย ระหว่างทางก็จะมีพระพุทธรูปตั้งเป็นจุด บางข้างทางก็มีระฆังห้อยทั้งสองข้างทาง มีร้านให้เช่าพระด้วย ขายน้ำก็มี (ผมว่าคนขายนี่เก่งแฮะยกตู้ ยกน้ำมาขายถึงบนนี้ ไม่ง่ายเลย) ทางก็เป็นบันได บางจุดก็เป็นทางชันขึ้นไปเลย เสลียงที่ผมนั่งใช้คนแบกสี่คน คราวนี้ผมรู้เลยทำไมราคาถึงแพงเพราะใช้เวลาทั้งหมดราวครึ่งชั่วโมงได้ และหยุดกลางทางครั้งนึง ทั้งสี่คนพอหยุดพัก เหงื่อแตกพลั่กเลย หยุดได้สิบนาที คนแบกก็ตั้งหลักแบกอีกครั้ง ไปอีกสิบนาทีกว่าก็ถึง มีเสลียงรอรับคนลงอยู่อีกตัว แต่เสลียงตัวที่ผมนั่งมา คนแบกก็มีผลัดเปลี่ยนกันแล้วก็รออยู่เพื่อคอยรับผมลง นี่ไงคับเหมือนเจ้าคนนายคนเลย อิอิอิ (คิดบวกไว้ก่อน) แล้วผมก็นั่งรอพี่สะใภ้กับคนแถวบ้านเดินขึ้นมา ข้างบนเขาจะทำเป็นลานทางเรียบหน่อย พอมาพร้อมกันแล้วก็เดินไปสักการะรอยพระบาทอย่างที่เห็นในรูป ผมเดินไปดูวิวมองลงมาเจอป่าเขาเขียวขจี แล้วพี่สะใภ้ผมเค้าก็บอกให้ผมคอยเพราะจะเดินขึ้นไปอีกเสลียงขึ้นไม่ได้เพราะทางแคบ ผมก็ โอเค ขึ้นถึงที่นี่ก็สูงลิบละที่ลานมีพระสงฆ์อยู่ในศาลา พระพุทธรูป พระสงฆ์ปลุกเสก กระเป๋าตังค์ เช่าพระก็มีอยู่ ผมนั่งคอยอยู่เป็นชั่วโมงก็ลง ตอนลงนั่งเสลียงลงมาเร็วกว่าตอนขึ้นอีก ผมนั่งเอนหลังเลย เพราะมันลาดลงมา คนแบกต้องเดินลงเร็วมากไม่พักเลยรวดเดียวจบ มานั่งรอคนแถวบ้านเพื่อรอนั่งรถลงเขาด้วยกัน เหมือนเดิมสองต่อ ลงมาถึงข้างล่างก็ทุ่มนึง ขึ้นรถตู้วิ่งตรงกลับถึงบ้านสี่ทุ่ม คับ เอาบุญมาฝากด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น